แพ็คเกจจิ้งแบบเปิดฝาพร้อมดีไซน์สีพาสเทล เพิ่มความน่าสนใจให้สินค้า

เลือกขนาดกล่องใส่สินค้าให้เหมาะสมเพื่อการขนส่งที่ปลอดภัยและประหยัดต้นทุน เราขอแนะนำการเลือกขนาดกล่องและโรงพิมพ์ที่มีมาตรฐานเพื่อความสะดวกในการดำเนินธุรกิจออนไลน์

ในการเลือกซื้อกล่องใส่สินค้าเพื่อใช้ในการบรรจุผลิตภัณฑ์หรือสินค้าต่างๆ ผู้ประกอบการจำเป็นต้องพิจารณาหลายปัจจัยที่สำคัญไม่ว่าจะเป็นขนาด ความแข็งแรง และความเหมาะสมกับสินค้าของคุณ ซึ่งจะส่งผลโดยตรงต่อการขนส่ง ประหยัดต้นทุน และช่วยให้สินค้าคงสภาพดีระหว่างการจัดส่ง เพราะปัจจุบันธุรกิจออนไลน์กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว

การเลือกใช้กล่องใส่สินค้าทั้งมีคุณภาพและราคาที่เหมาะสม จึงเป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม หากเลือกกล่องที่มีขนาดไม่เหมาะสมกับสินค้าหรือไม่แข็งแรงพอ อาจทำให้สินค้าเสียหายระหว่างการขนส่งได้ ดังนั้นการเลือกโรงพิมพ์รับผลิตกล่องบรรจุภัณฑ์ที่มีมาตรฐานจึงเป็นเรื่องสำคัญ

กล่องบรรจุภัณฑ์ลายดอกไม้สำหรับธุรกิจออนไลน์ สวยงามและพรีเมียม

ขนาดมาตรฐานของ กล่องใส่สินค้า ที่ผู้ประกอบการควรรู้

ขนาดมาตรฐานของกล่องใส่สินค้าที่ผู้ประกอบการควรรู้ กล่องใส่สินค้าไม่ได้มีขนาดเดียวกันทุกประเภท การเลือกขนาดที่เหมาะสมจะช่วยให้การขนส่งและการจัดเก็บสะดวกและปลอดภัยมากขึ้น โดยเฉพาะการใช้กล่องที่มีขนาดพอดีกับสินค้าไม่ใหญ่เกินไปหรือเล็กเกินไป เพื่อป้องกันการกระแทกหรือการเคลื่อนย้ายสินค้าไปมาในระหว่างการขนส่ง นอกจากนี้ยังสามารถลดต้นทุนในการขนส่งได้อีกด้วย

1.กล่องอาร์ตการ์ด

กล่องอาร์ตการ์ดเป็นกล่องใส่สินค้าที่ได้รับความนิยมสูง เหมาะสำหรับการบรรจุสินค้าทั่วไป เช่น เครื่องสำอาง สบู่ ครีม หรืออาหารเสริม เพราะมีคุณสมบัติในการพิมพ์โลโก้หรือข้อความต่างๆ ได้ง่าย มีความแข็งแรงและทนทาน ซึ่งมักจะพบในขนาดต่างๆ ดังนี้

  • ขนาด A5: กางออกไม่เกิน 16 × 25 เซนติเมตร
  • ขนาด A4: กางออกไม่เกิน 25 × 31 เซนติเมตร
  • ขนาด A4+: กางออกไม่เกิน 29 × 36 เซนติเมตร
  • ขนาด A3: กางออกไม่เกิน 31 × 44 เซนติเมตร
  • ขนาด A3+: กางออกไม่เกิน 37 × 53 เซนติเมตร
  • ขนาด A2: กางออกไม่เกิน 44 × 62 เซนติเมตร

2.กล่องอาร์ตการ์ดพรีเมียม

กล่องประเภทนี้เหมาะสำหรับสินค้าที่มีราคาสูงหรือสินค้าพรีเมียม เช่น กล่องของขวัญ หรือสินค้าเกรดพรีเมียม เนื่องจากมีความหนาและมีการเคลือบผิวที่ช่วยเพิ่มความเงางาม ทำให้สินค้าดูมีระดับ ซึ่งมีขนาดต่างๆ ดังนี้

  • ขนาด L: ขนาดฐานกางออกไม่เกิน 30 × 42 เซนติเมตร
  • ขนาด XL: ขนาดฐานกางออกไม่เกิน 42 × 60 เซนติเมตร

3.กล่องลูกฟูกพรีเมียม

กล่องลูกฟูกพรีเมียมช่วยให้การขนส่งปลอดภัยมากขึ้น เนื่องจากมีความแข็งแรงและสามารถรองรับน้ำหนักได้ดี โดยมีขนาดที่เหมาะสมกับสินค้าที่ต้องการการป้องกันการกระแทก เช่น อุปกรณ์ไฟฟ้า หรือสินค้าขนาดใหญ่ ซึ่งมีขนาดดังนี้

  • ขนาด A3: กางออกไม่เกิน 30 × 42 เซนติเมตร
  • ขนาด A2: กางออกไม่เกิน 42 × 60 เซนติเมตร
  • ขนาด A1: กางออกไม่เกิน 60 × 84 เซนติเมตร
  • ขนาด A0: กางออกไม่เกิน 84 × 120 เซนติเมตร

4.กล่องกระดาษคราฟท์

กล่องกระดาษคราฟท์มีความแข็งแรงและเหมาะสมสำหรับสินค้าทั่วไปที่ต้องการความทนทานสูง โดยมีขนาดที่หลากหลาย สามารถเลือกขนาดให้เหมาะสมกับผลิตภัณฑ์ได้ตามต้องการ ซึ่งมีขนาดต่างๆ ดังนี้

  • 20 oz (SS): 15.5 × 10 × 4 cm
  • 25 oz (S): 16.8 × 11.8 × 4.5 cm
  • 30 oz (M): 17 × 13.5 × 4.8 cm
  • 40 oz (L): 20 × 13.8 × 5 cm
  • 55 oz (XL): 21.5 × 15.5 × 6 cm
  • 70 oz (XXL): 22 × 16.5 × 6.5 cm

การเลือกขนาดกล่องใส่สินค้าที่เหมาะสม การเลือกขนาดกล่องใส่สินค้าควรคำนึงถึงขนาดและน้ำหนักของสินค้า หากเลือกกล่องที่ใหญ่เกินไปจะทำให้เกิดพื้นที่ว่างมากเกินไป ส่งผลให้สินค้าอาจเสียหายจากการกระแทกได้ ดังนั้น ควรเลือกกล่องที่พอดีกับขนาดของสินค้า ซึ่งจะช่วยปกป้องสินค้าได้ดีและลดต้นทุนในการขนส่ง

สาระน่ารู้: คู่มือ สั่งผลิตกล่องบรรจุภัณฑ์ สำหรับ Startup มือใหม่!

กล่องของขวัญหรูหราพร้อมริบบิ้น เหมาะสำหรับสินค้าพรีเมียมและของขวัญพิเศษ

การเลือกขนาดกล่องใส่สินค้าที่เหมาะสม ควรเลือกแบบไหนดี?

การเลือกขนาดกล่องที่ถูกต้องจึงควรพิจารณาตามปัจจัยดังต่อไปนี้:

1.ขนาดของสินค้า

การเลือกขนาดกล่องที่พอดีกับขนาดสินค้าคือสิ่งสำคัญที่สุด โดยไม่ควรเลือกกล่องที่ใหญ่เกินไปหรือเล็กเกินไป ถ้ากล่องมีขนาดใหญ่เกินไป จะมีพื้นที่ว่างในกล่อง ซึ่งอาจทำให้สินค้าขยับและเกิดความเสียหายจากการกระแทกได้ ในทางกลับกัน หากเลือกกล่องที่เล็กเกินไปอาจทำให้สินค้าถูกบีบอัดหรือถูกทำลายระหว่างการบรรจุและขนส่ง

2.น้ำหนักของสินค้า

น้ำหนักของสินค้าควรเป็นตัวกำหนดอีกหนึ่งปัจจัยในการเลือกขนาดกล่อง กล่องที่ใช้ควรมีความแข็งแรงและทนทานพอที่จะรองรับน้ำหนักของสินค้าได้อย่างมั่นคง การเลือกใช้กล่องที่มีความหนาหรือมีโครงสร้างที่แข็งแรงจะช่วยป้องกันการหักหรือล้มของสินค้าภายในกล่อง

3.การป้องกันสินค้า

การเลือกกล่องที่มีขนาดพอดีช่วยลดความเสี่ยงจากการเคลื่อนย้ายของสินค้าภายในกล่องได้ แต่หากสินค้ามีลักษณะบอบบางหรือแตกหักง่าย เช่น กระจก เครื่องใช้ไฟฟ้า หรือสินค้าพรีเมียม ควรเลือกกล่องที่มีการเสริมความปลอดภัยเพิ่มเติม เช่น การใช้ฟองน้ำหรือวัสดุกันกระแทกภายในกล่อง

4.การขนส่งและการจัดเก็บ

ขนาดกล่องยังมีผลต่อการขนส่งและการจัดเก็บสินค้าด้วย หากต้องส่งสินค้าจำนวนมากในครั้งเดียว ควรเลือกขนาดกล่องที่สามารถบรรจุสินค้ารวมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยไม่เสียพื้นที่มากเกินไปในการจัดเก็บ หรือส่งผ่านระบบขนส่งต่างๆ ที่อาจมีข้อจำกัดในการจัดการกับขนาดของกล่อง

5.ประเภทของสินค้าที่บรรจุ

เลือกกล่องที่เหมาะสมกับประเภทของสินค้าที่คุณขาย เช่น สินค้าที่มีลักษณะพิเศษหรือไม่ธรรมดา อาจต้องการกล่องที่มีการออกแบบพิเศษ เช่น กล่องที่มีช่องแบ่งภายในเพื่อแยกสินค้าหรือกล่องที่มีฝาปิดที่สามารถเปิด-ปิดได้สะดวก สำหรับสินค้าเกรดพรีเมียมอาจเลือกกล่องที่มีวัสดุหรูหราหรือเคลือบผิวเพื่อให้ดูดีขึ้น

สรุป

กล่องใส่สินค้ามีบทบาทสำคัญในการดำเนินธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นการขนส่งสินค้า การปกป้องสินค้าระหว่างการจัดส่ง หรือการส่งเสริมการตลาดผ่านบรรจุภัณฑ์ การเลือกขนาดกล่องที่เหมาะสมเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพในการขนส่ง ดังนั้น ผู้ประกอบการควรให้ความสำคัญกับการเลือกโรงพิมพ์กล่องที่มีมาตรฐาน เพื่อให้ได้กล่องใส่สินค้าที่มีคุณภาพและเหมาะสมกับสินค้าของคุณ

อ่านบทความเพิ่มเติม: วิธีเลือกบรรจุภัณฑ์ ให้เหมาะกับสินค้าขายออนไลน์